บทความข่าวสารไอที

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ใช้ต่อกับอุปกรณ์อะไรได้บ้าง

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ใช้ต่อกับอุปกรณ์อะไรได้บ้าง

ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลของภาพและเสียงจากเครื่องเกม , คอมพิวเตอร์ , TV หรืออุปกรณ์ให้ความบันเทิงอื่น ๆ ต่างก็ต้องเชื่อมต่อเข้าหากันด้วย สาย HDMI เพราะเป็นสายที่สามารถรับ-ส่งสัญญาณภาพและเสียงได้ภายในเส้นเดียวกัน โดยไม่ต้องแยกสัญญาณภาพและเสียงไปคนละเส้น ถือเป็นสายเชื่อมต่อที่เป็นมาตรฐาน และมีช่องเชื่อมต่อแทบจะทุกอุปกรณ์ที่สามารถแสดงผลภาพและเสียงได้

 

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ?

สาย HDMI คือ สายเชื่อมต่อที่ใช้ส่งสัญญาณวิดีโอและเสียงระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ , โทรทัศน์ , คอนโซลเกม และอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งสาย HDMI จะมีวัตถุประสงค์เพื่อรวมสัญญาณวิดีโอและเสียงให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ และเพื่อรองรับคุณภาพที่ดีขึ้นในการส่งถ่ายสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาในระยะเวลาต่อมา เพื่อรองรับความละเอียดที่สูงขึ้นของภาพและเสียง ล่าสุดเป็นเวอร์ชั่น 2.1

 

สาย HDMI จะมีหน้าที่ในการเชื่อมต่อโดยสามารถส่งข้อมูลได้ทั้งแบบภาพและเสียงในรูปแบบดิจิตอลผ่านสายเดียว ซึ่งจะต่างจากสายสัญญาณแบบเดิม ๆ ที่แยกภาพและเสียงออกจากกัน โดยสามารถรองรับความละเอียดของภาพได้ตั้งแต่แบบ HD จนถึง 4K , 8K ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ ส่งสัญญาณวิดีโอ และเสียงที่คมชัด รวมถึงคุณภาพสูงระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายมากขึ้น

 

สาย HDMI มีกี่ประเภท

เนื่องจากอุปกรณ์ที่รองรับ สาย HDMI มีหลายประเภท ทำให้ทั้งขนาดที่ใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง ทำให้ตัวหัวเชื่อมต่อได้ถูกออกแบบมาหลายรูปแบบ แต่จะมีแค่ 4 ประเภท เท่านั้นที่สำคัญกับผู้ใช้งาน ซึ่งจะมีด้วยกันดังนี้

 

สาย HDMI Type-A (Standard HDMI)

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ใช้ต่อกับอุปกรณ์อะไรได้บ้างสาย HDMI Type-A จะเป็นหัวต่อ 19 พิน แบบมาตรฐาน มีขนาดใหญ่สุดที่ 13.9 mm. x 4.45 mm. และถือเป็นแบบมาตรฐานที่มีความแพร่หลายมากที่สุดด้วยเช่นกัน

 

สาย HDMI Type-C (Mini HDMI)

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ใช้ต่อกับอุปกรณ์อะไรได้บ้างสาย HDMI Type-C ถูกออกแบบมาให้มีขนาดที่เล็กลงกว่ารุ่นมาตรฐานอยู่ที่ 10.42 mm. x 2.42 mm. แต่ยังเชื่อมต่อแบบ 19 พิน เท่าเดิม โดยยังคงมีประสิทธิภาพการใช้งานเทียบเท่า Type-A และสามารถพบเห็นได้ในพวกอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก เช่น กล้อง , แท็ปเล็ต หรือ ระบบ GPS พกพา เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับ Type-A ได้อีกด้วย แต่ต้องอาศัย Converter

 

สาย HDMI Type-D (Micro HDMI)

สาย HDMI คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ใช้ต่อกับอุปกรณ์อะไรได้บ้างสาย HDMI Type-D จะมีขนาดที่เล็กมากที่สุดในทุกประเภท เพียง 6.4 mm. x 2.8 mm. เท่านั้น โดยยังเชื่อมต่อแบบ 19 พิน เช่นเดียวกับชนิดอื่น ๆ และนิยมถูกนำไปใช้งานกับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฟน เป็นต้น

 

สาย HDMI Type-E (Automotive HDMI)

สาย HDMI Type-E ถูกดีไซน์มาเพื่อใช้งานในกลุ่มอุปกรณ์ และแอพพลิเคชั่นยานพาหนะโดยเฉพาะ เพราะพอร์ตชนิดนี้จะถูกใช้งานในส่วนของพวกเครื่องยนต์ เครื่องจักร เป็นหลัก โดยจะมีตัวล็อกในการยึดหัวต่อไม่ให้ขยับเคลื่อนที่จากแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในเวลาที่รถวิ่ง นอกจากนี้ ยังมีกรอบเพื่อป้องกันฝุ่นและความชื้นอีกด้วย

 

ซึ่งนอกจากทั้ง 4 แบบนี้แล้ว ยังมีอีกประเภทที่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นักสำหรับผู้ใช้ ได้แก่ สาย HDMI Type-B (Dual Link HDMI) เป็นสายที่ถูกคิดค้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ DVD-I Video แต่หลังจากเวอร์ชั่น 1.3 พอร์ตชนิดนี้ก็เลิกผลิตไป เพราะมีขนาดที่ใหญ่ และรับ-ส่งข้อมูลได้ไม่เร็วเท่าแบบ Single Link

 

อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับสาย HDMI ได้

อุปกรณ์ที่มักใช้กับสาย HDMI เป็นหลัก ได้แก่

    • จอคอมพิวเตอร์
    • คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และแล็ปท็อป
    • จอโทรทัศน์
    • วิดีโอโปรเจคเตอร์
    • กล่อง Home Theater
    • Soundbar
    • เครื่องเล่น DVD หรือ Blu-Ray
    • กล่องดาวเทียม
    • สมาร์ทโฟน (บางรุ่น)
    • กล้องดิจิตอล / กล้องวิดีโอ
    • เครื่องเล่นเกมคอนโซลต่าง ๆ

คุณสมบัติของสาย HDMI

  1. Audio Return Channel (ARC) ส่งสัญญาณเสียงไปยังลำโพง หรือ Soundbar
  2. ระบบเสียงแบบ Multi Channel Digital Audio Formats
  3. การส่งสัญญาณภาพแบบ 3 มิติ
  4. ระบบ Auto Lip-Sync ทำหน้าที่ Sync เสียงและภาพให้เข้ากัน
  5. คำสั่ง Consumer Electronics Control สามารถควบคุมอุปกรณ์หลายตัวได้ในเวลาเดียวกัน
  6. การแสดงสีที่คมเข้มแบบ Deep Color

วิธีการเลือกใช้สาย HDMI

สำหรับวิธีการเลือกใช้สาย HDMI นั้น อาจต้องตรวจสอบถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่รองรับ เพราะสาย HDMI แต่ละเวอร์ชั่นจะมีคุณสมบัติสำหรับการรองรับความละเอียดที่แตกต่างกันไป โดยปัจจุบัน สาย HDMI ที่ได้รับความนิยมจะเป็นเวอร์ชั่น 1.4 , 2.0 และ 2.1

 

1. ตรวจสอบมาตรฐานของสาย HDMI แต่ละประเภท

มาตรฐานของสาย HDMI สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

      • สาย HDMI มาตรฐาน 1.4 (High-Speed)

เป็นสายที่ออกจำหน่ายครั้งแรกปี 2009 รองรับการส่งสัญญาณที่ความละเอียด 1080p Refresh Rate 100 – 120 Hz และ 4K Refresh Rate 30 Hz โดยจะมี Bandwidth ที่ 10.2 Gbps เหมาะสำหรับงานนำเสนอ หรือชมภาพยนต์ทั่วไป เพราะรองรับ 3D Deep Color , Dolby True HD , DTS-HD Master Audio Bitstream , CEC และ Audio Return Channel (ARC) อีกทั้งยังมีราคาที่ไม่สูงมาก ทำให้หาซื้อได้ง่าย

      • สาย HDMI มาตรฐาน 2.0 (Premium High-Speed)

เป็นสายที่ออกจำหน่ายตั้งแต่ปี 2013 รองรับการส่งสัญญาณที่ความละเอียด UHD 4K Refresh Rate 60 Hz โดยจะมี Bandwidth สูงสุดถึง 18 Gbps จะรองรับมากกว่าสาย 1.3 – 1.4 a ในส่วนของงานภาพรองรับ Dual View และ Static HDR เหมาะสำหรับใช้กับระบบ Home Theater

      • สาย HDMI มาตรฐาน 2.1 (Ultra High-Speed)

เป็นสายที่ออกจำหน่ายตั้งแต่ปี 2017 แต่สมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถใช้งานกับสเปคนี้ได้เต็มที่ จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยม จะรองรับการส่งสัญญาณที่ความละเอียด 4K Refresh Rate 120 Hz และ 8K Refresh Rate 60 Hz โดยจะมี Bandwidth สูงสุดถึง 48 Gbps ในส่วนของงานภาพและเสียงรองรับ Enhanced Audio Return Channel (eARC) , Dynamic HDR , Vesa DSC 1.2 a และ Variable Refresh Rate ซึ่งปัจจุบัน สายรุ่นนี้จะมีสเปคและราคาที่สูงกว่าทุกประเภท แถมยังให้ภาพที่คมชัด เสียงสมจริง เหมาะสำหรับสายเกม เนื่องจากกราฟฟิคสวย ทำให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด

 

2. หากต้องการเชื่อมต่อกับซาวด์บาร์ ให้เลือกสาย HDMI 2.1 ที่รองรับ eARC

สาย HDMI ARC (Audio Return Channel) รองรับการส่งสัญญาณเสียงแบบ 2 ทาง แบบไป-กลับ โดยสามารถวิ่งสวนกันในสายเส้นเดียวได้ ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อสัญญาณไป-มาระหว่าง TV ไปยังซาวด์บาร์ได้ด้วยการใช้สาย HDMI เวอร์ชั่น 1.4 ขึ้นไปเพียงเส้นเดียว แต่ด้วยความที่ Bandwidth ของสาย HDMI ในเวอร์ชั่นแรก ๆ ยังมี Bandwidth ไม่เพียงพอ ก่อนทำการส่งสัญญาณกลับมา ทีวีจะบีบอัดไฟล์เสียง ทำให้คุณภาพของเสียงตก จึงทำให้สาย HDMI eARC (Enhance Audio Return Channel) เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาในจุดนั้น

 

สาย HDMI eARC เป็นสาย HDMI ARC เวอร์ชั่นปรับปรุงที่ถูกพัฒนาให้สามารถส่งสัญญาณแบบไป-กลับในความเร็วที่สูงกว่ามาก eARC จะมีขอบเขตในการส่งมอบเสียงสูงสุด 32 ช่องสัญญาณ รวมถึงสตรีมข้อมูลแบบไม่บีบอัด 8 ช่อง 24 บิต / 192 kHz ที่ความเร็วสูงสุด 38 Mbps ช่วยให้เวลาส่งสัญญาณเสียงกลับไปจะไม่ถูกบีบอัด ทำให้คุณภาพของเสียงดีกว่ามาก การเลือกใช้สาย HDMI เวอร์ชั่น 2.1 ที่รองรับ eARC เพื่อเชื่อมกับ Soundbar ทำให้ง่าย และมีประสิทธิภาพในการส่งเสียงกลับไปยัง Soundbar หรือระบบเสียงอื่น ๆ อย่างที่ต้องการ แถมยังได้คุณภาพเสียงที่ดีอีกด้วย

 

3. หากต้องการความเสถียรและสามารถส่งสัญญาณได้ดี ใช้ความยาวสายไม่เกิน 5 เมตร

สาย HDMI ที่มีความยาวไม่เกิน 5 เมตร จะมีความเสถียรในการส่งสัญญาณได้ดีโดยไม่มีปัญหา และหากใช้สาย HDMI ที่ยาวมาก จะทำให้ประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณข้อมูลลดลง จนทำให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ได้รับมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ตลอดจนเกิดปัญหาภาพติด ๆ ดับ ๆ ได้ แต่หากจำเป็นต้องใช้สายที่ยาวมาก ๆ ควรเลือกสายจากแบรนด์ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพสูง หรือมีความเร็วในการส่งสัญญาณที่มีความเร็วสูง

 

4. หากต้องการใช้งานระยะยาว เน้นเลือกสาย HDMI ที่เป็นแบบสายถัก

โดยทั่วไปแล้ว สาย HDMI จะหุ้มสายด้วยวัสดุประเภทยางหรือพลาสติก ซึ่งจะมีมาตรฐานความปลอดภัยและทนในระดับหนึ่ง เพียงพอต่อการเชื่อมต่อในบริเวณใกล้ ๆ แต่หากอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อนั้นมีระยะห่างที่ค่อนข้างมาก รวมถึงมีโอกาสที่จะต้องลากสายผ่านบริเวณที่มีการขูดขีด เสียดสี หรือต้องวางในพื้นที่ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับสายได้ การเลือกซื้อสาย HDMI แบบถักจะเพิ่มความทนมากขึ้น และช่วยลดทั้งรอยขีดข่วนต่าง ๆ สามารถพับงอสายได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันความร้อน และช่วยในเรื่องของการเกิดสัญญาณรบกวนได้ดีอีกด้วย

 

สรุป

สาย HDMI เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับแสดงผลภาพและเสียง ซึ่งการเลือกซื้อสายให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพถือเป็นเรื่องสำคัญ ควรตรวจสอบประเภทของสาย รวมถึงความสามารถในการแสดงผลที่ตรงกับอุปกรณ์ของเรา นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความยาวของสาย HDMI ให้เหมาะกับตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ด้วย

 

* เนื้อหาในบทความอาจมีผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง