เลือกเครื่องสำรองไฟ ให้เหมาะกับธุรกิจ
สายไฟเอย ปลั๊กเอย เต็มโต๊ะไปหมด แต่รู้ไหมว่าไอเทมลับที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไปนั่นก็คือ เครื่องสำรองไฟ หรือที่เรียกกันติดปากว่า UPS นั่นแหละ หลายคนอาจจะคิดว่า “โอ๊ย ไม่เห็นจำเป็นเลย ไฟดับปีละครั้งสองครั้งเอง” แต่เดี๋ยวก่อน! ความจริงคือไฟกระชาก ไฟตก หรือไฟดับแบบฉับพลันเนี่ย มันพร้อมจะพุ่งชนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สุดรักของเราให้พังได้ทุกเมื่อนะจ๊ะ ถ้าไม่อยากน้ำตาตกในเพราะฮาร์ดดิสก์พัง ข้อมูลหาย หรือคอมดับกลางคันตอนกำลังปั่นงานส่งอาจารย์ล่ะก็ การรู้ วิธีการเลือก เครื่องสำรองไฟ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และอุปกรณ์ที่เราใช้ มันสำคัญยิ่งกว่าที่คิดเยอะเลยล่ะ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกแบบหมดเปลือก ชนิดที่ว่าอ่านจบปุ๊บก็พร้อมพุ่งไปสอยเครื่องสำรองไฟมาเสริมทัพความปลอดภัยให้แก๊ดเจ็ตคู่ใจได้ทันที ไม่มีคำว่าพลาด!
ทำความรู้จัก UPS ประเภทไหนที่ใช่สำหรับคุณ
ก่อนจะไปถึงเรื่องการเลือกสเปก เรามาดูกันก่อนว่าเจ้าเครื่องสำรองไฟเนี่ย มันมีกี่ประเภทกันแน่ แต่ละประเภทมีจุดเด่นจุดด้อยยังไงบ้าง เพราะนี่คือหัวใจสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อเลยนะเออ
- Offline/Standby UPS นี่คือแบบเบสิกสุด คล้ายๆ ยามเฝ้าประตู ไฟมาปกติมันก็หลับ ไฟดับปุ๊บมันก็ตื่นขึ้นมาทำงานทันที เหมาะกับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการความเสถียรของไฟมากนัก อย่างพวกคอมพิวเตอร์บ้านๆ ที่ใช้งานไม่หนักมาก หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ไม่สำคัญถึงขนาดต้องทำงานตลอดเวลา ข้อดีคือราคาเป็นมิตร กระเป๋าไม่ฉีกแน่นอน แต่ข้อเสียคือมีช่วงเวลาดีเลย์เล็กน้อยตอนที่ไฟจากแบตเตอรี่มันสลับมาทำงาน ซึ่งอาจส่งผลต่ออุปกรณ์ที่อ่อนไหวมากๆ ได้นะ และยังไม่ช่วยปรับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่ด้วย ถ้าไฟบ้านเราสวิงบ่อยๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่
- Line-Interactive UPS ขยับขึ้นมาอีกสเต็ป เจ้าตัวนี้จะฉลาดกว่าแบบแรกนิดหน่อย นอกจากจะทำหน้าที่เป็นแบตสำรองตอนไฟดับแล้ว มันยังมีความสามารถในการปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automatic Voltage Regulation หรือ AVR) ให้คงที่อีกด้วย นั่นหมายความว่าต่อให้ไฟที่บ้านเราจะสวิงขึ้นๆ ลงๆ เจ้า UPS ตัวนี้ก็ยังช่วยรักษาแรงดันไฟที่ส่งไปยังอุปกรณ์ของเราให้เสถียรได้ ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้ดีเลยล่ะ เหมาะกับคอมพพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไป โฮมออฟฟิศ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความเสถียรปานกลาง จัดว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า คุ้มราคา ได้ฟังก์ชันครบครันในงบที่ไม่แรงมาก
- Online/Double-Conversion UPS นี่คือตัวท็อป สุดยอดแห่งความเสถียร เจ้า UPS ประเภทนี้จะแปลงไฟขาเข้าเป็นไฟกระแสตรง (DC) ก่อน แล้วค่อยแปลงกลับมาเป็นไฟกระแสสลับ (AC) อีกทีตลอดเวลา ไม่ว่าจะไฟบ้านจะดับหรือไม่ดับ มันก็ยังคงแปลงไฟอยู่ตลอด ทำให้ไฟที่ส่งไปเลี้ยงอุปกรณ์ของเรามีความบริสุทธิ์และเสถียรแบบสุดๆ ไม่มีช่วงเวลาดีเลย์เลยแม้แต่วินาทีเดียว เหมาะกับอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ หรือระบบที่ต้องการความต่อเนื่องในการทำงานสูง เช่น เซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ ข้อดีคือมั่นใจได้ 100% ว่าไฟที่ออกมาจะนิ่งกริบ ไร้ปัญหา แต่ข้อเสียก็คือราคาสูงกว่าเพื่อน และอาจจะกินไฟมากกว่าหน่อยเพราะมันทำงานตลอดเวลานั่นเอง
คำนวณวัตต์ให้เป๊ะปัง ไม่มีพลาด!
มาถึงหัวใจหลักของการเลือกซื้อเลยก็คือ การคำนวณกำลังไฟ (วัตต์) ที่อุปกรณ์ของเราต้องการ การเลือกเครื่องสำรองไฟที่มีกำลังไฟไม่พอเนี่ย เท่ากับเสียเงินเปล่าเลยนะ เพราะมันจะทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ หรือหนักสุดก็คือพังไปเลยก็ได้ วิธีการคิดง่ายๆ เลยคือ เราต้องรู้ว่าอุปกรณ์ที่เราจะนำมาต่อพ่วงกับ UPS นั้นใช้กำลังไฟรวมกันเท่าไหร่
ขั้นแรก ให้ลิสต์อุปกรณ์ทั้งหมดที่จะเสียบเข้ากับ UPS ออกมา เช่น คอมพิวเตอร์ จอภาพ เราเตอร์ ลำโพง หรือแม้กระทั่งเครื่องพิมพ์ (ถ้าจำเป็น) จากนั้นให้หาข้อมูลกำลังไฟที่แต่ละอุปกรณ์ใช้ โดยดูได้จากสติกเกอร์ที่แปะอยู่หลังอุปกรณ์ หรือในคู่มือก็ได้ ส่วนใหญ่จะระบุเป็นหน่วยวัตต์ (W) หรือ VA (โวลต์แอมป์)
เทคนิคลับที่ไม่ลับ: บางทีอุปกรณ์อาจจะระบุเป็น VA มาให้ ซึ่งค่า VA จะสูงกว่าค่า W เสมอ ถ้าเจอ VA ให้ใช้สูตรแปลงคร่าวๆ คือ VA x 0.6 = W (ตัวอย่าง ถ้าอุปกรณ์ระบุ 500VA ก็เท่ากับ 500 x 0.6 = 300W โดยประมาณ) แต่ถ้ามีทั้ง W และ VA ให้ยึด W เป็นหลักนะ
พอได้กำลังไฟของแต่ละอุปกรณ์มาแล้ว ให้เอาทั้งหมดมารวมกัน เช่น คอมพิวเตอร์ 300W, จอภาพ 50W, เราเตอร์ 10W, ลำโพง 20W รวมเป็น 380W จากนั้นให้เราเผื่อไปอีกประมาณ 20-30% เพื่อป้องกันกรณีที่อุปกรณ์กินไฟสูงสุด หรือเพื่อรองรับการต่ออุปกรณ์เพิ่มในอนาคต เช่น 380W x 1.25 = 475W เท่ากับว่าเราควรเลือกเครื่องสำรองไฟที่มีกำลังไฟอย่างน้อย 500VA ขึ้นไป หรือประมาณ 300-350W ขึ้นไปนั่นเอง (อย่าลืมว่า VA มากกว่า W เสมอนะจ๊ะ)
ถ้าเลือก UPS ที่มีกำลังไฟสูงกว่าที่คำนวณไว้มากเกินไป ก็อาจจะแพงโดยใช่เหตุ แต่ถ้าเลือกน้อยเกินไปก็ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ แถมยังเสี่ยงต่อการเสียหายอีกด้วยนะ ดังนั้น คำนวณให้ดีๆ ไม่มีพลาดแน่นอน!
ฟีเจอร์เด็ดๆ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ
นอกเหนือจากประเภทและกำลังไฟแล้ว เครื่องสำรองไฟยังมีฟีเจอร์ยิบย่อยอีกเพียบที่อาจจะช่วยให้การใช้งานของเราสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น บางฟีเจอร์อาจจะดูเล็กน้อย แต่บอกเลยว่ามีประโยชน์กว่าที่คิดเยอะ
- จำนวนและประเภทของเต้ารับ ตรวจสอบว่า UPS มีเต้ารับสำหรับสำรองไฟกี่ช่อง และเป็นเต้ารับแบบไหน บางรุ่นอาจจะมีเต้ารับสำหรับป้องกันไฟกระชากเท่านั้น (Surge Protection) แต่ไม่มีแบตเตอรี่สำรองไฟ อันนี้ต้องดูดีๆ นะจ๊ะ เลือกให้เหมาะกับจำนวนอุปกรณ์ที่เราจะเสียบ โดยเฉพาะเต้ารับที่ต่อกับแบตเตอรี่สำรอง ควรมีเพียงพอสำหรับอุปกรณ์สำคัญๆ เช่น คอมพิวเตอร์และจอภาพ
- พอร์ต USB หรือ RJ45 สำหรับป้องกันไฟกระชาก อันนี้ถือเป็นโบนัสเลยทีเดียว บางรุ่นจะมีพอร์ต USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ หรือพอร์ต RJ45 สำหรับป้องกันไฟกระชากที่มาจากสาย LAN ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคนที่ต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสาย LAN เพราะไฟกระชากก็มาทางนี้ได้เหมือนกันนะ
- ซอฟต์แวร์จัดการ UPS บางรุ่นมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เราสามารถมอนิเตอร์สถานะการทำงานของ UPS ได้แบบเรียลไทม์ เช่น ระดับแบตเตอรี่ แรงดันไฟฟ้าขาเข้า-ออก หรือแม้กระทั่งตั้งค่าให้คอมพิวเตอร์ปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย อันนี้มีประโยชน์มากสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อยู่หน้าจอ หรือคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการจัดการ
- จอแสดงผล LCD จอ LCD บนตัว UPS จะช่วยให้เรามองเห็นข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเดาเอาเอง ช่วยให้เราตรวจสอบสถานะการทำงานของ UPS ได้อย่างรวดเร็ว
- แบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ (Hot-Swappable Battery) ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เอง โดยไม่ต้องปิดเครื่องสำรองไฟเลย สะดวกสุดๆ สำหรับคนที่ใช้งานต่อเนื่อง หรือสำหรับองค์กรที่ต้องการให้ระบบทำงานตลอดเวลา
ระยะเวลาสำรองไฟ สำคัญไฉน?
คำถามยอดฮิตอีกข้อคือ “ควรเลือกเครื่องสำรองไฟที่สำรองไฟได้นานแค่ไหน?” คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเลย ไม่มีถูกผิดตายตัว!
ถ้าคุณต้องการแค่เวลาเซฟงาน ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย หรือรอให้ไฟกลับมาไม่นานนัก สัก 5-15 นาทีก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนทำงานทั่วไปหรือนักเรียนนักศึกษาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่บ้านเป็นหลัก นี่คือระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องลงทุนเยอะเกินความจำเป็น
แต่ถ้าคุณเป็นสตรีมเมอร์ เกมเมอร์ หรือทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หรืออยู่ในพื้นที่ที่ไฟดับบ่อยๆ และดับนานๆ การเลือกเครื่องสำรองไฟที่สำรองไฟได้นานขึ้น เช่น 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ก็จะช่วยให้คุณมีเวลาทำงานต่อ หรือเล่นเกมให้จบแมตช์ได้สบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไฟดับ
การที่ UPS จะสำรองไฟได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ (ระบุเป็น Ah หรือ VAh) และกำลังไฟที่อุปกรณ์เราใช้ ยิ่งแบตเตอรี่ใหญ่ ยิ่งสำรองไฟได้นาน แต่ก็แลกมาด้วยราคาและขนาดที่ใหญ่ขึ้นนะ
ดูแล UPS ยังไงให้อยู่กับเราไปนานๆ
การลงทุนซื้อเครื่องสำรองไฟมาแล้ว ก็ต้องดูแลมันให้ดีๆ เหมือนดูแลรถยนต์นั่นแหละ มันจะได้อยู่กับเราไปนานๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่บ่อยๆ
- อย่าโอเวอร์โหลด อย่าเสียบอุปกรณ์ที่กินไฟเกินกำลังของ UPS เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะทำงานหนักเกินไปจนพังเอาได้นะ
- ชาร์จแบตเตอรี่สม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละครั้ง ควรปล่อยให้แบตเตอรี่คายประจุจนหมด แล้วชาร์จกลับเข้าไปใหม่เต็ม 100% เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
- หลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูง อย่าวาง UPS ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง หรือโดนแดดโดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- ทำความสะอาดเป็นประจำ ใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดฝุ่นละอองที่เกาะอยู่บนตัวเครื่องและช่องระบายอากาศ เพื่อให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้ดี
- เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามกำหนด แบตเตอรี่ของ UPS มีอายุการใช้งานจำกัด ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 3-5 ปี ถ้าเริ่มรู้สึกว่าสำรองไฟได้น้อยลงกว่าเดิม ก็ถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วนะ
สรุป
สุดท้ายแต่สำคัญไม่แพ้ข้อไหนๆ คือการเช็คมาตรฐานความปลอดภัย เครื่องสำรองไฟที่ดีควรได้รับมาตรฐาน มอก. และมาตรฐานสากลอื่นๆ เช่น IEC หรือ UL เพื่อให้มั่นใจว่าจะปลอดภัยกับอุปกรณ์ของเราและไม่ทำให้เกิดอันตราย
ถ้ารู้ วิธีการเลือก เครื่องสำรองไฟ ที่ถูกต้องแล้ว ต่อไปไม่ว่าไฟดับหรือไฟกระตุกแค่ไหนก็ไม่ต้องหวั่นแล้วล่ะ เอาเวลาไปสนุกกับเกมหรือดูซีรีส์ยาวๆ ได้แบบไม่มีสะดุดเลย