PoE Switch เป็นเทคโนโลยีที่ส่งพลังงานไฟฟ้าแบบ DC ผ่านสาย UTP (LAN) เพื่อจ่ายไฟให้อุปกรณ์ที่รองรับ PoE เช่น Wireless Access Point , IP CCTV , IP Phone และ Access Control โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์ เพราะไม่จำเป็นต้องเดินสายไฟหรือเพิ่มเต้ารับไฟฟ้าเพิ่ม ทำให้ช่วยประหยัดทั้งในเรื่องเวลาและค่าใช้จ่าย
การเลือก PoE Switch ให้เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน และรองรับความต้องการในอนาคตนั้นสำคัญ ควรเลือกที่มีกำลังไฟที่เพียงพอต่อการใช้งานและเหมาะกับสภาพหน้างาน เพราะหากเลือก PoE Switch ที่ไม่เหมาะ อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ หรือเกิดความเสียหายขึ้นได้
PoE Switch จ่ายไฟอย่างไร
การจ่ายไฟของ PoE Switch สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้
1. PoE แบบมาตรฐาน IEEE 802.3
IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) เป็นองค์กรวิชาชีพที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามาตรฐานทางเทคโนโลยี วิศวกรรม และนวัตกรรมในหลากหลายสาขา รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งแบบมาตรฐานก็จะมีข้อดีคือ
-
-
-
- สามารถใช้ร่วมกับทุกยี่ห้อที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.3
- มีข้อกำหนดในเรื่องความปลอดภัยสำหรับจ่ายพลังงาน เช่น ป้องกันการจ่ายพลังงานเกิน (Overcurrent Protection) และป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit Protection)
- ตรวจสอบและจัดการพลังงานให้กับอุปกรณ์ PD อีกทั้งยังประหยัดพลังงานเมื่ออุปกรณ์ไม่ใช้งานหากอุปกรณ์ Network ที่ต่อไม่ต้องการไฟ PoE ก็จะไม่จ่ายไฟออกไป
-
-
ในปัจจุบัน ได้มีมาตรฐานอื่น ๆ อีก ดังนี้
-
-
-
-
IEEE 802.3af (PoE)
-
-
-
มาตรฐาน PoE นี้สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูงสุด 15.4 วัตต์ เหมาะสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ PD ทั่วไป เช่น Access Point , IP-Phone และกล้อง IP-Camera ที่มีการใช้พลังงานไม่เกิน 12.95 วัตต์ เนื่องจากมีการสูญเสียพลังงานในสาย LAN
-
-
-
-
IEEE 802.3at (PoE+)
-
-
-
มาตรฐาน PoE+ รองรับการจ่ายกำลังไฟสูงสุด 30 วัตต์ เหมาะสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์ที่มีกำลังไฟสูง เช่น Access Point ที่รองรับ Wi-Fi 6 หรือกล้อง IP Camera ขนาดใหญ่ที่มีการใช้พลังงานไม่เกิน 25.5 วัตต์
-
-
-
-
IEEE 802.3bt (PoE++ หรือ 4PPoE)
-
-
-
PoE++ จะมีมาตรฐานจ่ายกำลังไฟแบ่งเป็น 2 Type ได้แก่
Type 3 : จ่ายได้สูงสุด 60 วัตต์ มี Power Consumption ไม่เกิน 51 วัตต์
Type 4 : จ่ายได้สูงสุด 100 วัตต์ มี Power Consumption ไม่เกิน 71.3 วัตต์
ซึ่งจะใช้ร่วมกับ Access Point ขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มักรองรับ Wi-Fi 7 หรือ Wi-Fi 6 พร้อมฟีเจอร์ 4 x 4 MIMO หรือ 8 x 8 MIMO เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมกับกล้อง IP Camera แบบ Speed Dome , ระบบแสงสว่าง LED , จอภาพดิจิทัล และอุปกรณ์ IoT ขนาดใหญ่ได้อีกด้วย
2. PoE แบบ Passive
Passive PoE ไม่ใช่มาตรฐาน IEEE 802.3 โดยทั่วไปจะจ่ายไฟที่แรงดัน 12 – 24 VDC และมีกำลังไฟประมาณ 12 – 24 วัตต์ ซึ่งอุปกรณ์ Passive PoE เหล่านี้จะส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในสายแลนโดยตรง โดยไม่มีการตรวจสอบว่าอุปกรณ์เครือข่ายปลายทางรองรับ PoE หรือไม่
อุปกรณ์ PoE สำหรับจ่ายไฟมีอะไรบ้าง
PoE Injector
POE Injector เป็นอุปกรณ์ PoE ที่มีช่องเสียบเพียงช่องเดียว โดยฝั่ง IN จะใช้สำหรับเชื่อมต่อสายแลนเข้ากับ Router หรือ Switch ส่วนฝั่ง OUT จะจ่ายไฟออกเพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รองรับ PoE (PD) เช่น Access Point , IP Camera หรือ IP Phone ซึ่งปัจจุบัน จะมีทั้งแบบ Port Multi-Gigabit 1 , 2.5 และ 5 Gbps และมี Port Fast 100 Mbps ที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ IP Camera
ข้อดีของ PoE Injector
- ติดตั้งง่าย สะดวก
- ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับติดตั้ง Access Point และ IP Camera 2 – 3 ตัว
ข้อเสียของ PoE Injector
- หากใช้กับ Access Point หรือ IP Camera หลายตัว ต้องมี PoE Injector หลายตัวในตู้ Rack
- ปลั๊กไฟที่ใช้สำหรับตู้ Rack มีราคาสูงพอสมควร
PoE Switch (Power Over Ethernet Switch)
PoE Switch เป็นอุปกรณ์ Network Switch ที่สามารถจ่ายไฟและส่งข้อมูลออกจากพอร์ตแลนได้ในเวลาเดียวกัน
ข้อดีของ PoE Switch
- สามารถจ่ายไฟ PoE ได้หลายพอร์ต
- PoE Switch รุ่นที่มี Port Uplink เป็น SFP / SFP+ สำหรับเชื่อมต่อกับ Switch หรือ Router ผ่านสาย Fiber Optic ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้ในระยะไกลขึ้น
- Managed PoE Switch ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบริหารจัดการการตั้งค่าได้ อย่างทำ VLAN เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระบบเครือข่าย และจัดการเครือข่ายได้อย่างสะดวกขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ผู้ผลิตได้พัฒนาขึ้น เช่น จัดการผ่าน Cloud ที่ช่วยให้สามารถสั่งปิด-เปิดไฟ PoE หรือรีบูตอุปกรณ์จากไหนก็ได้
- ราคาของ PoE Switch ในปัจจุบันลดลงมาก
PoE Switch เหมาะกับอุปกรณ์ไหนบ้าง
- IP Camera
- IP Phone
- Network Router
- Network Switch
- Wireless Access Point
ข้อดีของการใช้ PoE
- ประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กไฟหรือจัมพ์ไฟใกล้อุปกรณ์ Network เพื่อจ่ายไฟผ่าน DC Adapter
- สะดวก ติดตั้งง่าย เพียงใช้สายแลนที่มีอยู่ เชื่อมต่อได้ไกลถึง 100 เมตร
- ไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับการใช้ DC Adapter ที่มีแรงดันผิดพลาด หรือให้แรงดันไม่เสถียร
- PSE มีระบบ Surge Protection ที่ช่วยป้องกันไฟกระชาก และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ Network
- ปลอดภัยหากใช้ภายนอกอาคาร โดยป้องกันไฟลัดวงจรและไฟรั่ว
- จัดการระบบไฟจากส่วนกลางได้ง่ายผ่านการเปิด-ปิด หรือใช้งาน UPS สำหรับสำรองไฟที่ตู้ Rack
- รองรับการจัดการระยะไกล รวมถึงฟังก์ชั่นการรีบู๊ต PoE Port ผ่านเครือข่าย
- ในปัจจุบันสามารถขยายระยะการใช้งานสายแลนได้ถึง 250 เมตร พร้อมการจ่ายไฟ PoE
วิธีการเลือก PoE Switch
-
-
-
-
ความเร็วในการใช้งานกำลังไฟต่อพอร์ต
-
-
-
ในปัจจุบัน PoE Switch มีความเร็วให้เลือก 2 ระดับ ได้แก่ 10 / 100 (Fast Ethernet) และ 10 / 100 / 1000 (Gigabit Ethernet)
-
-
-
-
กำลังไฟต่อพอร์ต และกำลังไฟของอุปกรณ์ที่ใช้งาน
-
-
-
ตามมาตรฐาน IEEE 802.3af / at อุปกรณ์ควรมีการจ่ายกำลังไฟที่เหมาะสม และจำนวนพอร์ต RJ45 ที่รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทางผ่านสายแลน โดยต้องพิจารณากำลังไฟที่อุปกรณ์สามารถจ่ายได้ว่าเพียงพอกับความต้องการของอุปกรณ์ปลายทางหรือไม่
-
-
-
-
พื้นที่ใช้งาน
-
-
-
หากต้องการติดตั้ง PoE Switch ภายในอาคาร สามารถเลือกใช้ PoE Switch แบบทั่วไปได้ แต่หากต้องการติดตั้งภายนอกอาคาร แนะนำ Industrial PoE Switch และควรคำนึงถึงระยะทางที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายด้วย เนื่องจาก Ethernet ที่ใช้สายแลนจะมีระยะห่างสูงสุดไม่เกิน 100 เมตร หากจำเป็นต้องติดตั้งในระยะทางที่ไกลกว่านั้น ควรพิจารณาการใช้ SFP Port
สรุป
การเลือก PoE Switch ไม่ได้มีแค่เรื่องของราคา แต่ควรคำนึงถึงความต้องการในการใช้งานในปัจจุบันและอนาคตด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกำลังไฟฟ้า , จำนวนพอร์ต , มาตรฐาน PoE หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนใน PoE Switch ที่เหมาะสมจะช่วยให้เครือข่ายของเรามีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว
* เนื้อหาในบทความอาจมีผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง