บทความข่าวสารไอที

USB HUB คืออะไร สามารถเชื่อมต่อหลายตัวได้ไหม

USB HUB คืออะไร สามารถเชื่อมต่อหลายตัวได้ไหม

USB HUB เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มจำนวนพอร์ต USB บนคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกันได้ เช่น เมาส์ , คีย์บอร์ด , แฟลชไดรฟ์ , ฮาร์ดดิสก์ และอุปกรณ์ชาร์จ เพื่อรองรับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้งานภายในบ้าน หรือใช้งานสำหรับประชุมและสัมมนา เป็นต้น ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเจ้า USB HUB ว่าคืออะไร มีวิธีการเลือกใช้งานแบบไหน และสามารถเชื่อมต่อหลายตัวได้หรือไม่

 

USB HUB คืออะไร ?

USB Hub (Universal Serial Bus Hub) อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ต USB บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีพอร์ต USB จำกัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเชื่อมต่อ USB ได้หลายตัวพร้อมกันหลายชนิด น มาส์ , คีย์บอร์ด , แฟลชไดรฟ์ , ฮาร์ดดิสก์ หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ โดยไม่ต้องถอดออก ซึ่ง USB Hub บางรุ่นจะมาพร้อมกับฟังก์ชั่นแปลงพอร์ต จาก USB Type-A (แบบปกติ) เป็น USB Type-C หรือเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่ออื่น ๆ เช่น HDMI , SD Card Reader หรือ LAN เป็นต้น ทำให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่มีพอร์ตที่ต่างกันได้อย่างยืดหยุ่น

 

วิธีการเลือก USB HUB

หากมองจากภายนอก USB HUB อาจมีรูปร่างและจุดประสงค์ในการใช้งานที่ใกล้เคียงกัน แต่ความจริงแล้ว อุปกรณ์ชนิดนี้มีปัจจัยที่ต้องตรวจสอบค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นประเภท มาตรฐาน USB , ชนิดของ Connector และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้

 

1. เลือกจากประเภทของ USB HUB

ในปัจจุบัน USB HUB ที่วางจำหน่ายจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งได้แก่ USB HUB แบบไม่ใช้ไฟเลี้ยง และแบบมีไฟเลี้ยง โดยทั้ง 2 ประเภทนี้จะมีการใช้งานที่ต่างกันออกไป ผู้ใช้สามารถเลือกได้ตามจุดประสงค์การใช้งานของแต่ละคนได้เลย

      • USB HUB แบบไม่ใช้ไฟเลี้ยง (สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ)

USB HUB ประเภทนี้มักนิยมใช้เพื่อเพิ่มจำนวนพอร์ต USB โดยใช้พลังงานจากพอร์ต USB ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ (Non-Powered USB Hub) โดยจะใช้พลังงานจากคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ต่อพ่วงอยู่ ซึ่งมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ไม่ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอก เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ จะไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูงอย่างฮาร์ดดิสก์ เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปที่ต้องการพอร์ต USB เพิ่มสำหรับอุปกรณ์เล็ก ๆ ทั้งนี้ หากไฟเลี้ยงจากอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงจ่ายไฟไม่พอ USB HUB ก็อาจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเช่นกัน

      • USB Hub แบบมีไฟเลี้ยง (สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก ใช้พลังงานสูงและเสถียร)

USB Hub แบบมีไฟเลี้ยง จะมีแหล่งจ่ายไฟในตัว (ผ่านอะแดปเตอร์หรือสายไฟ) ซึ่งจุดเด่นของ USB HUB ประเภทนี้คือ หากต้องการนำมาใช้งานจะต้องมีการเสียบปลั๊กกับแหล่งจ่ายพลังงานภายนอกก่อน เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก เครื่องพิมพ์ สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ทได้หลายเครื่องพร้อมกัน แต่จะมีขนาดใหญ่และต้องใช้แหล่งจ่ายไฟเพิ่มเติม เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกัน หรือใช้งานในสำนักงาน และยังทำการชาร์จอุปกรณ์แบบ Fast Charging ได้ รวมถึงยังสามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์บางประเภทที่ต้องการไฟเลี้ยงได้ด้วย นอกจากนี้ USB HUB บางรุ่นยังมาพร้อมกับสวิตช์สำหรับเปิด-ปิด เพื่อใช้ควบคุมอุปกรณ์อีกด้วย

 

2. เลือกตามมาตรฐาน USB

มาตรฐาน USB มีผลต่อความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล และกำลังไฟที่ส่งไปยังอุปกรณ์ โดยมาตรฐาน USB ในปัจจุบันจะแบ่งเป็น 2.0 และ 3.0 ซึ่งทั้ง 2 มาตรฐานนั้นจะมีการแยกย่อยออกมา แนะนำให้ผู้ใช้พิจารณามาตรฐานเหล่านี้ประกอบตามด้วย

      • USB 2.0

เป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ยังใช้งานได้ดีสำหรับอุปกรณ์เก่า และการใช้งานทั่วไป เช่น เมาส์ , คีย์บอร์ด หรือแฟลชไดรฟ์ขนาดเล็ก ด้วยความเร็วสูงสุด 480 Mbps แต่จะมีข้อจำกัดด้านความเร็วและกำลังไฟที่รองรับ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับใช้งานด้วยความเร็วสูง หรืออุปกรณ์ที่ใช้พลังงานมาก

      • USB 3.0 / 3.1 / 3.2

ได้ถูกพัฒนาเพื่อเพิ่มความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลตั้งแต่ 5 Gbps ใน USB 3.0 ถึง 20 Gbps ใน USB 3.2 Gen 2 x 2 โดย USB 3.x ยังสามารถรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูงอย่างฮาร์ดดิสก์ภายนอกและ SSD อีกทั้งยังสามารถถ่ายโอนวิดีโอด้วยความละเอียดสูง และไฟล์ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น

      • USB 4.0

ด้วยความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงถึง 40 Gbps และการสนับสนุน Thunderbolt 3 ทำให้ USB4 เหมาะสำหรับใช้งานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ 8K , การใช้งาน SSD NVMe และการเชื่อมต่อจอภาพความละเอียดสูง ทั้งนี้ USB4 ยังสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้แบบหลายช่องสัญญาณ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการเชื่อมต่อ

 

3. ตรวจสอบชนิดของ Connector ที่ USB HUB รองรับ

Connector บน USB HUB ส่งผลต่อความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีหน้าที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก หาก Connector ไม่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการนำมาต่อพ่วงด้วย จะไม่สามารถใช้งานได้ โดยชนิดของ Connector หลัก ๆ ที่พบได้ มีดังนี้

      • พอร์ต USB – A

ใช้กับอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไป เช่น คอมพิวเตอร์ , เมาส์ , คีย์บอร์ด และแฟลชไดรฟ์ ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานที่มีใน USB HUB ทุกรุ่น และมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลตามมาตรฐาน USB ถือเป็นพอร์ตที่มีการใช้งานมากที่สุดเลยก็ว่าได้

      • พอร์ต USB – C

เป็นพอร์ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์รุ่นใหม่อย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ เนื่องจากอุปกรณ์ประเภทนี้จะรองรับพอร์ต USB Type-C เป็นหลัก ในส่วนของการโอนถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วกว่าพอร์ต USB Type-A โดยพอร์ตนี้จะมีบน USB HUB ประมาณ 1 – 2 พอร์ต

      • พอร์ต Lightning

ใช้เฉพาะกับระบบ Apple อย่าง iPhone , iPad และ iPod โดยรองรับทั้งการชาร์จและโอนถ่ายข้อมูล มีขนาดเล็ก สามารถเสียบใช้งานได้สองด้าน แต่จะเริ่มถูกแทนที่ด้วย USB Type-C ในระบบ Apple รุ่นใหม่อย่าง iPhone 15

      • พอร์ต SD / TF Card

ถูกเพิ่มเข้ามาใน USB HUB เพื่อรองรับการโอนถ่ายข้อมูลจากการ์ดหน่วยความจำ เช่น การ์ดจากกล้องถ่ายรูปหรือโดรน พอร์ตนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม รองรับมาตรฐานความเร็ว เช่น UHS-I และ UHS-II ทำให้สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องจัดการข้อมูลภาพถ่ายหรือวิดีโอเป็นประจำ

 

4. พิจารณาจำนวนพอร์ตบน USB HUB

จุดประสงค์หลักในการนำ USB HUB มาใช้งานคือ นำมาเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ หลายชิ้นพร้อมกัน แต่ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะมีจำนวนพอร์ตที่ไม่เท่ากัน การเลือกพอร์ตให้พอเหมาะกับการใช้งานจะช่วยให้ใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

      • 2 – 4 พอร์ต

เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป เช่น การเชื่อมต่อเมาส์ , คีย์บอร์ด , แฟลชไดรฟ์ หรือชาร์จสมาร์ทโฟน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัว ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หลายชิ้นในเวลาเดียวกัน

      • 5 – 7 พอร์ต

เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงาน หรือใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น เชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์พกพา , แท็บเล็ต , สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่น ๆ พร้อมกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวก ลดการถอดและเสียบบ่อย แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการงานอีกด้วย

      • 8 พอร์ตขึ้นไป

เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ เช่น ช่างภาพ นักตัดต่อวิดีโอ หรือทำงานด้านข้อมูลที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวในเวลาเดียวกัน เช่น กล้อง เครื่องปริ้น ฮาร์ดดิสก์หลายตัว หรืออุปกรณ์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

 

5. ตรวจสอบฟังก์ชั่นเพิ่มเติม

USB HUB หลาย ๆ รุ่น นอกจากจะถูกออกแบบมาให้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีพอร์ต USB แล้ว ในบางรุ่นยังมีการเพิ่มฟังก์ชั่นเสริมเข้ามาเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย

      • ระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

ระบบนี้จะพบใน USB HUB แบบมีแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงมากกว่า และจะทำงานก็ต่อเมื่อเกิดความผิดปกติทางไฟฟ้าระหว่างใช้งาน โดยหากฟังก์ชั่นนี้ทำงาน ตัว USB HUB จะหยุดการทำงานชั่วขณะโดยที่ไฟไม่กระชาก เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่เกิดความเสียหาย

      • รองรับ Power Delivery (PD)

ฟังก์ชั่น PD ช่วยให้ USB Hub รองรับการชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟสูงสุด 100 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์พลังงานสูงอย่างโน้ตบุ๊คหรือแท็ปเล็ต ทำให้สามารถชาร์จอุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกันได้อย่างรวดเร็วและเสถียร

      • มีพอร์ต LAN (RJ – 45)

สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบสาย เหมาะสำหรับโน้ตบุ๊คหรือแท็ปเล็ตที่ไม่มีพอร์ตแลนในตัว ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะสำหรับงานที่ต้องการเชื่อมต่อความเร็วสูง เช่น การประชุมออนไลน์ หรือการอัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่

 

USB HUB สามารถเชื่อมต่อหลายตัวได้หรือไม่

USB HUB สามารถทำการเชื่อมต่อหลายตัวต่อกันได้ แต่ควรระวังในเรื่องของความเสถียรและความเร็วในการส่งข้อมูล เนื่องจากการเชื่อมต่อหลายชั้นอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะหากใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง แนะนำให้ใช้ USB Hub คุณภาพสูง และเชื่อมต่ออุปกรณ์สำคัญกับพอร์ตโดยตรง หรือผ่าน Hub ชั้นเดียวเพื่อลดปัญหา

 

สรุป

USB HUB แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่เล็ก แต่บอกเลยว่าสะดวกสบาย แถมใช้งานได้ง่าย ยิ่งในยุคที่มี USB Hub ด้วยดีไซน์น่ารัก ฉีกรูปลักษณ์แบบเดิม ๆ แถมมีให้ได้เลือกหลากหลายขนาด ตั้งแต่ตัวจิ๋วสำหรับพกพาติดตัว เหมาะสำหรับใช้งานกับแท็ปเล็ต ไปจนถึง Docking Station ขนาดใหญ่ ที่ใช้ในออฟฟิศอีกด้วย

 

* เนื้อหาในบทความอาจมีผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง