ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงาน เนื่องจากมีไฟล์งานจากโปรแกรมต่าง ๆ ที่ถูกเขียนขึ้น จะไม่สามารถจับต้องหรือจัดเก็บได้เหมือนเอกสารกระดาษทั่วไป ดังนั้น จึงต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ให้ปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันคือ Flash Drive ซึ่งขนาดที่เหมาะและนิยมใช้ในการเก็บงานระยะยาวคือ แฟลชไดร์ฟ 128gb เนื่องจากสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมาก
อย่างไรก็ตาม ไฟล์งาน หรือข้อมูลที่ถูกจัดเก็บต่างก็มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของขนาด หรือประเภทของไฟล์ หากเลือกใช้ แฟลชไดร์ฟ 128gb ที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของไฟล์งานอาจทำให้ Flash Drive ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น ราจึงอยากมาแนะนำวิธีการเลือก แฟลชไดร์ฟ 128gb ให้เพื่อน ๆ ได้ลองพิจารณากันดู
วิธีการเลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb
การเลือก แฟลชไดร์ฟ 128gb นั้น มีปัจจัยในการเลือกมากกว่าที่หลาย ๆ คนคิด โดยพิจารณาได้จากสิ่งเหล่านี้
1. เลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb จากพอร์ตการเชื่อมต่อที่เหมาะสม
หลายคนอาจมองว่าพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีลักษณะเหมือนกันจะมีการทำงานและคุณสมบัติที่เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้ว พอร์ตการเชื่อมต่อนั้นจะมีทั้งแบบ USB 2.0 และ USB 3.0 ซึ่งสอดคล้องกับขนาดความจุของ Flash Drive นั้น ๆ โดยยิ่งมีความจุมากก็ยิ่งต้องการความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้น สำหรับแฟลชไดร์ฟที่มีความจุไม่เกิน 32 GB อาจยังใช้พอร์ต USB 2.0 แต่สำหรับแฟลชไดร์ฟที่มีความจุ 64 GB ขึ้นไป จะเริ่มใช้พอร์ต USB 3.0 กันหมด ซึ่งในปัจจุบันยังมีแฟลชไดร์ฟที่รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน โดยมีพอร์ต USB Type-C และ Lightning ให้เลือกใช้งานกันด้วย
2. เลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb จากความเร็วในการอ่านข้อมูล
ปกติแล้ว ปัจจัยหลักที่มีผลต่อความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลคือ ขนาดของไฟล์ข้อมูล แต่ขนาดของไฟล์นั้นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้การส่งข้อมูลช้าหรือเร็ว ในปัจจุบันแฟลชไดร์ฟที่มีความจุ 128 GB มักมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 70 MB/s ซึ่งเป็นค่ามาตรฐาน และสามารถสูงขึ้นได้ตามรุ่นของอุปกรณ์ โดยบางรุ่นอาจมีความเร็วสูงถึง 200 MB/s
3. เลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb ที่มีคุณสมบัติพิเศษกันน้ำ
แฟลชไดร์ฟ 128gb เป็นเครื่องมือจัดเก็บข้อมูลที่สามารถบรรจุไฟล์งานได้จำนวนมาก แต่ข้อเสียของ แฟลชไดร์ฟ 128gb ทั่วไปที่หลายคนอาจมองข้ามคือความเสี่ยงจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น ตกน้ำ หรือสัมผัสกับน้ำโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลทั้งหมดที่จัดเก็บในแฟลชไดร์ฟเสียหายได้ในครั้งเดียว ส่งผลให้การทำงานหยุดชะงัก ดังนั้น การเลือกซื้อแฟลชไดร์ฟ 128gb ที่มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า
4. เลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb ที่สามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนได้
ในปัจจุบัน นอกจากคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องใช้แฟลชไดร์ฟในการจัดเก็บข้อมูลแล้ว สมาร์ทโฟนก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่หลายคนเลือกใช้เก็บข้อมูลเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีความสะดวกสบายในการพกพา แถมใช้งานง่าย ดังนั้น หากต้องการจัดเก็บข้อมูลในสมาร์ทโฟนเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย แนะนำให้เลือกแฟลชไดร์ฟ 128gb ที่มีพื้นที่จัดเก็บเยอะ และมีคุณสมบัติที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้มาใช้งาน
ซึ่งปัจจุบัน สำหรับแฟลชไดร์ฟ 128gb บางรุ่นได้มีการออกแบบให้มีหัวเสียบ 2 แบบ ประกอบกันในชิ้นเดียว เพื่อใช้งานได้ทั้งกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ หรือบางรุ่นได้ถูกออกแบบมาเป็น USB Type-C หรือ Lightning เพียงแต่ราคาอาจสูงกว่าแฟลชไดร์ฟแบบธรรมดาเล็กน้อย
ประโยชน์ของแฟลชไดร์ฟ 128gb
หน่วยความจำสำรองของคอมพิวเตอร์
ในคอมพิวเตอร์จะมีหน่วยความจำที่มีอยู่แล้ว แต่อาจมีจำนวนจำกัด ซึ่งคอมพิวเตอร์อาจไม่เพียงพอที่จะเก็บข้อมูลของเราได้ แต่แฟลชไดร์ฟจะเป็นอีกทางเลือกที่สามารถเป็นหน่วยความจำสำรองของคอมพิวเตอร์ได้
ใช้เก็บข้อมูลเพื่อสำรองไฟล์งานต่าง ๆ
แฟลชไดร์ฟยังเป็นอีกทางเลือกที่มีไว้เพื่อเก็บข้อมูลสำรองไฟล์งานต่าง ๆ ของเราไว้ ทั้งนี้ หากนำไฟล์งานต่าง ๆ เก็บไว้ในแฟลชไดร์ฟก็ยังสามารถนำไปเปิดได้ในที่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
คัดลอกไฟล์ข้อมูล
การคัดลอกไฟล์ข้อมูล และนำมาใส่ไว้ในแฟลชไดร์ฟเพื่อที่จะทำการย้ายไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่ง หรือการย้ายไฟล์ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกคอมพิวเตอร์หนึ่งได้นั่นเอง
วิธีแก้ไขหากแฟลชไดร์ฟ 128gb มีปัญหา และใช้งานไม่ได้
ตรวจเช็คว่าแฟลชไดร์ฟ 128gb มีปัญหา หรือพังแล้ว
- นำแฟลชไดร์ฟ 128gb เสียบกับคอมพิวเตอร์
- ไปที่ File Explorer แล้วคลิกขวาที่ แฟลชไดร์ฟ จากนั้นเลือก Properties
- ไปที่แท็บ Hardware แล้วตรวจสอบข้อมูลตรง Device Status หากขึ้นว่า This Device is Working Properly ก็มีโอกาสแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
ใช้คำสั่ง Chkdsk
- เชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟ 128gb เข้ากับคอมพิวเตอร์
- คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วเลือก Windows Powershell
- พิมพ์คำสั่งลงไปว่า Chkdsk (ชื่อไดร์ฟ): /f /x
ตัวอย่าง : Chkdsk f: /f /x - กดปุ่ม Enter แล้วรอมันทำงานจนเสร็จ
โดย /f จะเป็นการสั่งให้แก้ไขข้อผิดพลาดที่มีอยู่ในพื้นที่เก็บข้อมูลของแฟลชไดร์ฟ ส่วน /x จะเป็นการบังคับให้ถอนการเชื่อมต่อของไดร์ฟก่อนที่จะเริ่มสแกน
ใช้คำสั่ง Diskpart
วิธีนี้จะเหมาะสำหรับแฟลชไดร์ฟที่ฟอร์แมทไม่ได้ ใช้งานไม่ได้ หรือไม่มีข้อมูลสำคัญในไดร์ฟที่จำเป็นแล้ว เนื่องจากจะล้างข้อมูลทั้งหมดในไดร์ฟ ซึ่งจะใช้คำสั่ง Diskpart ผ่าน Command Line ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
-
- เชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟเข้ากับคอมพิวเตอร์
- คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วเลือก Windows Powershell (Admin)
- พิมพ์คำสั่ง Diskpart แล้วกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง List Disk แล้วกด Enter
- ให้ดูว่าแฟลชไดร์ฟคือ Disk หมายเลขที่เท่าไหร่ โดยดูจากความจุด้านหลัง
- พิมพ์คำสั่ง Select Disk ตามด้วยหมายเลข Disk
* ตรงจุดนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ ห้ามพิมพ์เลยผิด โดยเฉพาะเลข 0 - หากข้อความขึ้น Disk (หมาเลข Disk) is Now The Selected Disk ให้พิมพ์คำสั่ง Clean แล้วกด Enter
ทำการ Reallocate แฟลชไดร์ฟใหม่ด้วยเครื่องมือ Disk Management
หลังจากใช้คำสั่ง Diskpart ในการล้างข้อมูลที่เสียหายในแฟลชไดร์ฟแล้ว คอมพิวเตอร์จะไม่สามารถเข้าใช้งานแฟลชไดร์ฟได้ทันที ต้องจัดการในเครื่องมือจัดการดิสก์ (Disk Management Tool) ที่ติดมากับระบบปฏิบัติการ Windows ก่อน ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
-
- คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วเลือก Disk Management
- ที่พาเนลด้านล่างจะมีรายชื่อ Disk อยู่ Disk 1, Disk 2,… ให้เลื่อนหา Disk ที่เป็นแฟลชไดร์ฟของเรา โดยสังเกตง่าย ๆ ซึ่งจะถูกระบุไว้ว่า Unallocate
- คลิกขวาที่ Disk แล้วเลือก New Simple Volume… จะมีหน้าต่าง New Simple Volume ขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม Next
- หน้าต่างถัดมาจะเป็นการตั้งค่า Specify Volume Size สำหรับแฟลชไดร์ฟ ไม่ต้องแก้ไขอะไรแล้วคลิกปุ่ม Next
- เลือกชื่อไดร์ฟที่ต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม Next
- เลือก ระบบไฟล์ (File System) ที่ต้องการใช้ แล้วคลิกปุ่ม Next
- ตรวจสอบการตั้งค่า หากไม่ต้องการแก้ไขอะไรแล้วให้คลิกที่ปุ่ม Finish
หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจากทำตามคำแนะนำด้านบนเสร็จแล้ว แฟลชไดร์ฟก็จะกลับมาใช้งานได้ปกติ
สรุป
แฟลชไดร์ฟ 128gb เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการทำงาน ดังนั้น ควรพิจารณาคุณสมบัติของแต่ละยี่ห้ออย่างรอบคอบ และศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ก่อนการเลือกซื้อ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และแม้ว่าแฟลชไดร์ฟ 128gb จะใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูล แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ไฟล์ต่าง ๆ อาจเสียหาย หากอุปกรณ์เกิดความเสียหาย ดังนั้น แนะนำให้สำรองข้อมูลในที่เก็บข้อมูลหลายแห่งเพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญสูญหาย
* เนื้อหาในบทความอาจมีผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง