การใช้งานคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบหลัก ๆ ในการประกอบจำเป็นต้องมี CPU , Mainboard , RAM หรือ Graphic Card ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Power Supply ในการทำงาน เพราะ Power Supply เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่ช่วยจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดปัญหาตามมา เรียกได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานของเครื่องเลยก็ว่าได้
Power Supply คืออะไร ?
Power Supply เป็นอุปกรณ์สำคัญภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละอุปกรณ์ โดยจะแปลงกระแสไฟฟ้าภายในบ้านจากกระแสสลับให้เป็นกระแสตรง เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ CPU , Mainboard , RAM หรือ HDD ซึ่งส่วนใหญ่หลาย ๆ คนมักมองข้าม เพราะคิดว่าใช้ Power Supply แบบไหนก็ได้ แต่ในความเป็นจริง อุปกรณ์ชนิดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญ หากซื้อแบบไม่ได้มาตรฐานมาใช้อาจเกิดปัญหากับคอมพิวเตอร์ในระยะยาวได้
หลักการทำงานของ Power Supply
หลักการทำงานที่สำคัญของ Power Supply คือ ช่วยแปลงกระแสไฟฟ้าจากกระแสสลับ (AC) หรือจากไฟบ้าน ให้เป็นกระแสตรง (DC) เพื่อจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนภายในให้สามารถทำงานได้ และยังเปรียบเสมือนหัวใจที่คอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของเรานั่นเอง
ตัวอย่าง : แปลงไฟบ้านขาเข้า AC 220 V ให้มีแรงดันไฟฟ้าเพื่อส่งออกเป็น DC ได้หลายระดับในระบบเดียว เช่น 12 V , 5 V , -3 V , 19 V หรือ 20 V ซึ่งทั้งหมดนี้จะจ่ายไฟฟ้ากี่โวลต์นั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรของตัวเมนบอร์ดคอมพิวเตอร์ในแต่ละรุ่น
Power Supply มีทั้งหมดกี่แบบ
ในปัจจุบัน ทางผู้ผลิตหลายเจ้าหลายยี่ห้อได้เข้ามาทำตลอด และทำ Power Supply ออกมาหลายแบบ หลายขนาด โดยจะสามารถแยกออกเป็น 2 แบบด้วยกัน ดังนี้
1. แบ่งตามขนาดของ Form Factor
ขนาดของ Power Supply จะมีการแบ่งตามขนาด ในปัจจุบันมักจะเห็นด้วยกันอยู่ 4 แบบ คือ
-
-
-
แบบ ATX
-
-
ATX เป็นขนาดมาตรฐานของ Power Supply ที่ใช้สำหรับ Desktop PC ขนาดทั่วไป หรือที่เรียกว่า Tower PC หรือ คอมประกอบแบบ Full Tower
-
-
-
แบบ TFX
-
-
TFX หรือ Thin From Factor Power Supply มีขนาดเล็ก และผลิตออกมาเพื่อใช้กับ Desktop PC ขนาดเล็ก หรือ Low Profile PC หรือที่เรียกว่า Small Form Factor
-
-
-
แบบ SFX
-
-
SFX เป็น Power Supply ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า Mini-ITX
-
-
-
แบบ Flex
-
-
Flex หรือ Flex PSU , Plex ATX เป็น Power Supply ที่ผลิตออกมาเพื่อใช้งานกับเครื่องเซิฟเวอร์ หรือคอมพิวเตอร์บางประเภทที่ใช้งานเฉพาะทาง
2. แบ่งตามมาตรฐานการประหยัดพลังงาน
มาตรฐาน 80 Plus หรือ 80+ เป็นเครื่องหมายรับรองจาก ENERGY STAR® และ สหภาพยุโรป (EU) เพื่อรับรองว่า Power Supply นั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาตรฐาน PSU ทั่วไป และยังสูญเสียพลังงานน้อย ยกตัวอย่างเช่น หากรับพลังงานไฟฟ้าจากบ้านเข้ามา 100% จะสามารถแปลงกระแสและส่งออกได้มากกว่า 80% ส่วนอีก 20% ที่หายไปนั้น คืออัตราการสูญเสียพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้เสียค่าไฟน้อยลง ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า วัตต์แท้ หรือ วัตต์เต็ม นอกจากนี้ มาตรฐาน 80 Plus ยังแบ่งระดับประสิทธิภาพออกเป็นหลายระดับด้วยกันดังนี้
-
-
- Titanium มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง Full Load 90% และทำงานที่ 94% หาก Load 50% (ระดับสูงสุด)
- Platinum มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง รองรับ Full Load ที่ 89% ส่วนใหญ่มักใช้กับเครื่อง Super Computer อย่าง Server หรือ Workstation
- Gold รองรับ Full Load 87% มักอยู่กับเครื่อง Workstation หรือ Gaming ระดับสูง
- Silver รองรับ Full Load 85%
- Bronze รองรับ Full Load 82%
- White รองรับ Full Load 80%
-
ซึ่งทั้ง 3 ระดับ อย่าง Silver , Bronze และ White มักนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากคุ้มค่าต่อราคา มักเห็นใน Desktop PC ตามสำนักงาน รวมถึงกลุ่มเครื่องคอมซึ่งประกอบด้วยส่วนระดับสูง ๆ อย่าง Titanium และ Platinum มักพบเห็นได้ในพวก Server หรือ Workstation
มาตรฐานตามการผลิตทั่วไป เป็น Power Supply ที่ผลิตออกมาเพื่อใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป จะไม่มีเครื่องหมาย 80 Plus ปกติมักสูญเสียพลังงานมากพอสมควร โดยจะมีค่า Full Load ประมาณ 65% – 75% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการผลิตของแต่ละแบรนด์คือ หากรับกระแสไฟฟ้าเข้ามาแล้ว จะสามารถส่งออกให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เพียง 65% – 75% เท่านั้น เท่ากับว่าจะเสียพลังงานไปประมาณ 25% – 35%
วิธีการเลือก Power Supply
Power Supply อย่างที่ได้บอกไปแล้วในข้างต้นว่า Power Supply นั้นเป็นส่วนสำคัญในการใช้งานคอมพิวเตอร์ หากเลือกซื้อ Power Supply ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือจ่ายไฟไม่เพียงพอต่อการใช้งาน อาจทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เกิดความเสียหายได้ เนื่องจากไฟที่จ่ายจาย Power Supply นั้นไม่เพียงพอ และเพื่อช่วยให้หลาย ๆ คนตัดสินใจในการเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น เราจึงนำข้อมูลสำหรับวิธีการเลือก Power Supply มาให้ได้อ่านกันดังนี้
1. เลือกจากประเภทของ Power Supply
Power Supply ส่วนใหญ่ที่ถูกวางจำหน่ายในปัจจุบันจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของการเชื่อมต่อสายเคเบิลกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่งในแต่ละด้านของทั้ง 3 ประเภทนั้น สามารถใช้งานได้เหมือนกัน และจะแบ่งออกได้ดังนี้
-
-
-
Power Supply แบบ Non-Modular
-
-
มีราคาถูกที่สุดในทั้งหมด 3 ประเภท เนื่องจากมีสายเคเบิลออกมาจากอุปกรณ์โดยตรง จะไม่สามารถแยกสายเคเบิลออกจากกันได้ ซึ่งในอนาคต หากมีการอัพเกรดอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ ตัวสายเคเบิลจาก PSU ประเภทนี้อาจไม่เพียงพอสำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ถูกอัพเกรด
-
-
-
Power Supply แบบ Semi-Modular
-
-
จะคล้ายกับประเภท Non-Modular แต่จะมีช่องเชื่อมต่อเพิ่มเติมสำหรับสายเคเบิลบางประเภท เช่น สายเชื่อมต่อประเภท Power Connector ของการ์ดจอ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อการ์ดจอได้ถึง 2 ตัว
-
-
-
Power Supply แบบ Full Modular
-
-
เป็น PSU ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจาก 3 ประเภท แต่จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากสามารถถอดหรือเชื่อมต่อสายเคเบิลจากอุปกรณ์ได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังสามารถจัดระเบียบสายไฟเพื่อความสวยงามได้อีกด้วย
2. เลือก Power Supply มาตรฐาน 80 Plus
มาตรฐาน 80 Plus เปรียบเสมือนใบรับรองว่า Power Supply ที่เลือกซื้อมาใช้งานนั้นสามารถแปลงพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการแปลงไฟฟ้านั้นจะเกิดอัตราการสูญเสียพลังงานเกิดขึ้น หากเลือกซื้อ Power Supply ที่ได้รับมาตรฐาน 80 Plus จะนำไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับมาแปลงให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง เพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์
หาก Power Supply ได้รับการรับรองมาตรฐาน 80 Plus จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถแปลงกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพได้มากกว่า 80% และจะสูญเสียพลังงานความร้อนเพียง 20% ของกระแสไฟฟ้าที่รับมา โดยจะแบ่งได้ 6 ระดับ ได้แก่ 80 Plus White , Bronze , Silver , Gold , Platinum และ Titanium ซึ่งยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานได้มากเท่านั้น
3. เลือก Power Supply ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดจะใช้กำลังไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น CPU , RAM , Graphic Card , SSD หรือ HDD ดังนั้น ควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยคำนวณอัตราการใช้ไฟของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ซึ่งสามารถใส่อัตราการใช้ไฟของอุปกรณ์แต่ละชนิดและคำนวณการใช้งานได้ผ่านทางเว็บไซต์ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต เช่น SeaSonic หรือ OuterVision
4. เลือก Power Supply จากกำลังไฟที่เหมาะสม
การเลือก Power Supply จากกำลังไฟถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการเลือกซื้อ เนื่องจากในยุคปัจจุบัน อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์มีการใช้กำลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลาย ๆ คนต้องหาซื้อ Power Supply รุ่นใหม่ ๆ มาใช้งาน โดยจะมีกำลังไฟตั้งแต่ 400 W จนถึง 1250 W และยิ่งมีจำนวนตัวเลขที่มาก จะสามารถรองรับการใช้งานได้หลายอุปกรณ์มากขึ้น
สรุป
บทความนี้ก็จบกันไปแล้ว หวังว่าหลาย ๆ คนคงจะตัดสินใจได้แล้วว่า Power Supply แบบไหนที่คุ้มค่าและเหมาะกับการใช้งานของคุณ แต่หากใครที่ยังไม่มั่นใจ ให้ลองคำนึงถึงประเภท หรือปริมาณความจุว่าเพียงพอและตรงกับประเภทการใช้งานหรือไม่ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย และตอบสนองต่อการทำงานมากที่สุด
* เนื้อหาในบทความอาจมีผิดพลาดได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง