แค่ได้ยินคำว่าสายแลน หลายคนอาจนึกถึงสายเส้นกลม ๆ ที่เสียบหลังคอมไว้เล่นเน็ต แต่จริง ๆ แล้วสายแลนมีหลายแบบ หลายรุ่น หลายเกรด แถมยังแอบมีเทคโนโลยีซ่อนอยู่ในนั้นเยอะกว่าที่คิด จะใช้งานภายในบ้านหรือเอาไปวางระบบในองค์กรใหญ่ก็ต้องเลือกให้ถูก เพราะสายแต่ละชนิดรองรับความเร็วต่างกัน ใช้งานในพื้นที่ต่างกัน และมีโครงสร้างที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงานบางประเภท ใครกำลังจะเดินสายใหม่หรืออยากเข้าใจว่าทำไมราคาสายแลนถึงต่างกันเป็นร้อยเป็นพัน บทความนี้มีคำตอบแบบเข้าใจง่าย ครบทุกจุด แบบไม่ต้องงง
โครงสร้างเบื้องต้นของสายแลนที่หลายคนไม่เคยสังเกต
สายแลน หรือ UTP (Unshielded Twisted Pair) เป็นสายทองแดงที่ถูกนำมาตีเกลียวเป็นคู่ ๆ แล้วห่อด้วยฉนวน โดยออกแบบมาเพื่อใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ในระบบเครือข่าย เช่น คอมพิวเตอร์ เราเตอร์ สวิตช์ หรือแม้แต่ media converter จุดสังเกตหนึ่งที่สำคัญคือแถบสีบนสาย ซึ่งไม่ได้แค่ทำให้ดูเท่ แต่มีหน้าที่บอกประเภทหรือคุณสมบัติเฉพาะของสายแต่ละเส้นด้วย เช่น ความสามารถในการกันสัญญาณรบกวนหรือระดับการใช้งานในพื้นที่ต่างกัน
แยกประเภทตามพื้นที่การติดตั้ง
สายแลนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งตามพื้นที่ใช้งานได้ 2 แบบหลัก ๆ แบบแรกคือสำหรับใช้งานภายในอาคาร โดยจะเน้นเรื่องความยืดหยุ่น น้ำหนักเบา และง่ายต่อการเดินสาย ส่วนแบบที่สองคือสำหรับใช้งานภายนอก ซึ่งต้องการวัสดุเปลือกหุ้มที่หนาและแข็งแรงกว่า ทนแดด ทนฝน และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้สายเสื่อมหรือเสียเร็ว โดยเฉพาะสายที่ต้องวางกลางแจ้งเป็นระยะเวลานาน
โครงสร้างสายแลนกับการป้องกันสัญญาณรบกวน
การเลือกใช้สายแลนไม่ใช่แค่ดูจากราคา แต่ต้องดูที่โครงสร้างด้วย เพราะบางงานจำเป็นต้องมีการป้องกันสัญญาณรบกวนระดับสูง เช่น พื้นที่ที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหนัก ๆ หรือมีแหล่งกำเนิดคลื่นรบกวนจำนวนมาก ตัวเลือกที่เหมาะคือสายที่มีฉนวนหลายชั้น หรือสายแบบ Shielded (STP) หรือ Foiled (FTP) ซึ่งต่างจาก UTP ที่ไม่มีการหุ้มพิเศษ
ประเภทสายที่นิยม เช่น
- สายหุ้มฟอยล์คู่ (Foiled Twisted Pair)
- สายมีชิลด์ทั้งชุด (Shielded Twisted Pair)
- สายฉนวนเดี่ยวแบบพื้นฐาน (Unshielded Twisted Pair)
แต่ละแบบมีหน้าที่ในการลดสัญญาณรบกวนต่างกัน เลือกให้เหมาะกับสถานการณ์จะช่วยให้ความเร็วการส่งข้อมูลเสถียรกว่าเดิม
ประเภทตามประสิทธิภาพการส่งข้อมูล
สายแลนไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันหมด เพราะรุ่นที่ต่างกันส่งผลต่อความเร็ว ความถี่ และระยะที่สายสามารถส่งข้อมูลได้ โดยแต่ละรุ่นจะมีรหัส “Cat” ที่ย่อมาจาก Category ตามด้วยตัวเลขที่ระบุระดับของประสิทธิภาพ
- Cat 5 ใช้ส่งข้อมูลได้สูงสุด 100 Mbps เหมาะกับงานทั่วไปภายในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก มีความถี่อยู่ที่ 100 MHz
- Cat 5e (Enhanced) พัฒนาต่อจาก Cat 5 เพิ่มความเร็วได้ถึง 1 Gbps และยกระดับมาตรฐานความถี่เป็น 150 MHz ใช้ได้ดีกับระบบที่ต้องการความเสถียรมากขึ้น
- Cat 6 ส่งข้อมูลได้สูงสุด 10 Gbps บนระยะไม่เกิน 55 เมตร มีความถี่อยู่ที่ 250 MHz
- Cat 6a (Augmented) รองรับความเร็วระดับ 10 Gbps ได้เต็มระยะ 100 เมตร เพิ่มความถี่เป็น 500 MHz ลดปัญหาการรบกวนข้ามคู่สาย
- Cat 7 เพิ่มความถี่ขึ้นอีกเป็น 600 MHz มีชิลด์ทั้งภายในและภายนอกสาย ช่วยลดสัญญาณรบกวนในระบบแน่นหนา
- Cat 8 ถูกออกแบบมาสำหรับ Data Center รองรับความเร็วตั้งแต่ 25 Gbps ถึง 40 Gbps บนระยะไม่เกิน 30 เมตร มีความถี่สูงสุดถึง 2000 MHz และรองรับอุปกรณ์ระดับ server-grade
การใช้งานร่วมกับระบบสื่อสารสมัยใหม่
เทคโนโลยีที่โตไวในยุคนี้ทำให้สายแลนต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ เพื่อรองรับระบบใหม่ ๆ เช่น IoT (Internet of Things) ที่ต้องการสายสื่อสารจำนวนมากและเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายชิ้นพร้อมกัน Cloud System ที่ต้องการความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุด และ Data Center ที่ระบบทุกอย่างต้องนิ่งและแม่นยำที่สุด สายแลนระดับ Cat 6a ขึ้นไปจึงเริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ โดยเฉพาะสาย Cat 7 และ Cat 8 ที่ถูกนำมาใช้ในองค์กรและศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
สายแลนในยุคนี้จึงไม่ได้เป็นแค่สายเชื่อมอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งในแกนหลักของระบบสื่อสารในยุคดิจิทัล ที่ต้องเลือกให้เหมาะกับลักษณะงาน เพื่อให้ระบบไอทีทั้งระบบทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ